ยกกระชับใบหน้า
การยกกระชับหน้าด้วยเครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ อาทิเช่น เครื่องมือยกกระชับหน้าอย่าง Ulthera, Hifu Macrofocus และ Thermage รวมทั้งการฉีดโบท็อกและร้อยไหม คือสิ่งที่คนจำนวนมากกำลังให้ความสนใจ เพื่อนำมาใช้ช่วยลดเลือนริ้วรอย แก้ไขความหย่อนคล้อยของใบหน้าอันเกิดจากคอลลาเจนและอิลาสตินได้ขาดหายไปจากผิวหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับวัยที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่อายุมากหรือผู้สูงอายุ สำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีการเลือกใช้เครื่องมือยกกระชับใบหน้าเพื่อจัดการกับแต่ละปัญหานั้น วันนี้คุณหมอมีคำอธิบายเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกทำคอร์สยกกระชับหน้ากันครับ
ใช้เครื่องมือในการยกกระชับใบหน้า Thermage, Hifu Macrofocus หรือ Ulthera
การยกกระชับใบหน้าไม่จำเป็นต้องรอให้หน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ แล้วจึงค่อยมาทำ ยิ่งเริ่มทำเร็วยิ่งดีกว่า เนื่องจากหากมองจากภายนอกแล้วพบกับความเหี่ยวย่นหรือความหย่อนคล้อยบนใบหน้า ความจริงแล้วย่อมเกิดความเสื่อมสภาพเมื่อคนเราอายุเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคนหรือสูงวัย ทั้งกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อย, ผิวชั้นหนังแท้เสื่อมลง และกระดูกเกิดการยุบตัวลง
วิธีการแรก ๆ ที่คุณหมอมักแนะนำคือ การใช้เครื่องมือ Hifu Macrofocus, Ulthera (อัลเทอร่า) หรือการทำ Thermage เพราะเป็นการยกกระชับด้วยเครื่องในกลุ่มที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุ จึงไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สะดวกรวดเร็ว เห็นผลได้ไม่ต้องรอนาน และยังเหมาะกับคนที่กลัวเข็มฉีดยา
Thermage ยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องเทอร์มาจ
Thermage หรือ เทอร์มาจ เป็นหนึ่งในวิธียกกระชับหน้า ใช้เทคโนโลยีการยิงความร้อนเป็นลักษณะก้อนพลังงานขนาดใหญ่ลงสู่ใต้ผิวไปจนถึงชั้นไขมัน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผิวจึงแน่นขึ้นและยกกระชับ โดยปรกติการทำเทอร์มาจใช้พลังงานอยู่ที่ 40-50°C ถ้าต้องการให้ Thermage สามารถช่วยยกกระชับได้พอ ๆ กับการทำ Hifu และ Ulthera ต้องใช้พลังงานที่สูงมาก (เพราะการทำ Hifu และ Ulthera จะใช้พลังงานอยู่ที่ 60-70°C โดยประมาณ)
การใช้เครื่อง Hifu Macrofocus / Ulthera / Thermage ช่วยยกกระชับใบหน้า
ผลที่ได้จากการทำเทอมาจ จะโดดเด่นทางด้านลดเนื้อไขมัน รวมทั้ง Thermage จะช่วยลดริ้วรอย/รูขุมขนให้เล็กลง และฟื้นฟูสุขภาพผิว มากกว่าด้านการยกกระชับ
เมื่อยกกระชับหน้าด้วยการทำ Thermage แล้ว นานเท่าไรจึงจะเห็นผล?
- หลังจากทำเทอร์มาจเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเห็นผลว่าผิวกระชับขึ้นทันทีประมาณ 20%
- เมื่อทำครบ 2-3 เดือน หลังจากนั้นจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน เนื่องจากคอลลาเจน (Collagen) ในร่างกายถูกสร้างเพิ่มมากขึ้น ใบหน้าจึงดูอ่อนเยาว์ลง ผิวแข็งแรงและกระชับขึ้น
- ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
การทำ Hifu Macrofocus เครื่องมือยกกระชับใบหน้า
Hifu คือเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาให้สามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ กระตุ้นคอลลาเจน (Collagen) ได้ในทุก ๆ ชั้นผิว เพื่อให้เนื้อเยื่อที่ถูกสร้างขึ้นใหม่มีความแน่นกระชับกว่าเก่า มีหลักการทำงานในลักษณะใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) โดยการยิงเข้าไปใต้ผิวหนังในแต่ละชั้น เพื่อให้ผิวหดตัว คล้ายกับการเย็บเข้าไปที่เนื้อ และดึงหน้าขึ้นให้ตึงกระชับ ลดไขมันที่เหนียงใต้คาง ช่วยป้องกันความหย่อนคล้อยของผิวในอนาคต รวมทั้งสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนในครั้งแรกที่ทำ
Hifu Macrofocus (Hight intensity focus ultrasound Macrofocus)
การทำ Hifu เจ็บมากไหม
- เราจะมีความรู้สึกปวดและตึง ๆ ที่ใต้ชั้นผิวในขณะที่ทำ hifu เพราะถ้าอยากทำไฮฟู่แบบให้ได้เต็มประสิทธิภาพก็จะต้องทนเจ็บ คุณหมอจะยิงคลื่นเสียงเพื่อให้ใบหน้ายกกระชับ เข้าถึงชั้น SMAS (ชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ) หากทนเจ็บไหวผลที่ได้จะสามารถอยู่ได้ถึง 1 ปี
- เมื่อทำ hifu เสร็จแล้วจะมีอาการบวมเกิดขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ยุบบวมลงเอง
เครื่องยี่ห้อ Ultraformer III (ภาพตัวอย่าง) ที่เป็นเครื่องชนิด macrofocus
ยกกระชับใบหน้า ด้วยเครื่อง Ulthera – อัลเทอร่า ลงลึกถึงใต้ผิวหนัง
Ulthera ปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิวจนถึงชั้น SMAS
Ulthera คือ เทคโนโลยียกกระชับหน้าแบบ Original กระบวนการทำงานคือใช้พลังงานสูงแบบเฉพาะเจาะจง (focusing ultrasound) ยิงไปที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งจะเกิดจุดความร้อน 65-70°C ขนาดเล็กเรียงตัวกันเป็นเส้นตรง ลักษณะคล้ายจุดไข่ปลาที่บริเวณใต้ผิว ช่วยยกกระชับผิวหน้าขึ้นได้ จากเนื้อเยื่อที่เกิดการหดตัวตามทิศทางของเส้นจุดไข่ปลาดังกล่าว
โดยแพทย์สามารถกำหนดได้ว่าอยากให้เนื้อแก้มถูกยกกระชับขึ้นในแนวไหน/ทิศทางใดได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากมีหน้าจอในการดูระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปใต้ผิวหนัง
ทำ Ulthera ยกกระชับหน้าเสร็จแล้ว กี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์?
เมื่อเราทำ Ulthera เพื่อยกกระชับเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะยังไม่ได้เห็นผลแบบ 100% ในทันที ซึ่งอาจเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ประมาณ 20%
สิ่งที่จะได้รับหลังทำอัลเทอร่า คือ ความร้อนที่ Focus ลงสู่ใต้ผิวหนังจะส่งผลให้ชั้นผิวหดตัว ร่างกายจะค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ใบหน้าดีขึ้นตามลำดับ
- ผิวหน้าจะกระชับขึ้นภายในเวลา 1-2 เดือน
- เมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
- หากแพทย์ปรับพลังงานสูงขึ้น อีกทั้งคนไข้สามารถทนกับความเจ็บที่เพิ่มขึ้นได้ ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ได้นานขึ้นและเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น อาจจะอยู่ได้นานถึง 1 ปี
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำ Ulthera ยกกระชับ?
- ผู้ที่เริ่มมีอายุมาก ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัดเจนเนื่องจากผิวหน้าหย่อนคล้อย หน้าดูใหญ่ขึ้นไม่เรียวเหมือนสมัยก่อน
- ผู้ที่มีเหนียง หรือคางสองชั้น ต้องการลดและทำให้ตึงกระชับขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหารอยเหี่ยวย่นรอบลำคอ ต้องการยกกระชับผิวที่คอ
- ผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย ร่องแก้ม ถุงใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา และคิ้วตก
วิธีการร้อยไหม (Thread lifting) เพื่อช่วยยกกระชับใบหน้า ดึงแก้มหย่อนขึ้นได้ทันที
วิธียกกระชับใบหน้าด้วยการร้อยไหม (Thread lifting)
การร้อยไหม คือ หัตถการที่ช่วยยกกระชับ ดึงแก้มที่หย่อนคล้อยขึ้นได้ทันทีหลังจากทำ เป็นวิธีที่ปลอดภัย ระหว่างทำการร้อยไหมจะไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าจะเจ็บบ้างก็เฉพาะตอนฉีดยาชาเท่านั้น กรรมวิธีคือใช้เข็มนำเส้นไหมละลายที่มีเงี่ยงสอดลงในชั้นผิวหนัง เงี่ยงของไหมจะเกี่ยวผิวหน้าขึ้นมาตามทิศทางที่ร้อย เมื่อเส้นไหมละลายหลังจากเวลาผ่านไป 6 เดือน – 1 ปีครึ่งจะเกิดเส้นใยอิลาสติน (elastin) ช่วยประคองผิว จึงยกกระชับใบหน้าขึ้น
ยกกระชับหน้า โดยวิธีฉีดโบท็อก
ขอขอบคุณ: โบท็อกยี่ห้อไหนดีที่สุด อเมริกา/เกาหลี/อังกฤษ/เยอรมัน ต่างกันอย่างไร?
จาก Youtube Channel: V Square Clinic
การฉีดโบท็อก คือ หัตถการอีกตัวหนึ่งที่ช่วยยกกระชับใบหน้าได้ คนจำนวนมากต่างนิยมทำเพื่อลดริ้วรอย เป็นการฉีดตัวยาในกล้ามเนื้อจุดที่ดึงหน้าลง อยู่ตรงบริเวณลำคอ ซึ่งกล้ามเนื้อนั้นมีชื่อว่า พลาทิสม่า (Platysma)
หลังจากตัวยาออกฤทธิ์แล้วกล้ามเนื้อก็จะหยุดทำงาน ช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนที่ดึงผิวขึ้น มีแรงมากกว่า ใบหน้าจึงยกกระชับขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่าย และราคาไม่สูง
ก่อนตัดสินใจเลือกคอร์สยกกระชับใบหน้าทุกครั้ง ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญก่อน เพื่อที่แพทย์จะประเมินและเลือกใช้กรรมวิธีให้เหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่สภาพใบหน้าและราคาตามงบประมาณที่คนไข้สะดวก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.vsquareclinic.com/tips/face-lift-easily/
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.surgery.today/